By พันตา (Panta)
ทีวีดิจิทัลของไทย มาถึงวันนี้ก็ 5 ปี คนไทยได้เห็นคราบน้ำตามากกว่ารอยยิ้ม ไม่ว่าการจากไปของ 2 ช่องใต้ปีกของ “เจ๊ติ๋ม” ตัวเลขขาดทุนที่ตัวแดงกันถ้วนหน้า มีเพียงไม่กี่รายที่ประกาศว่ามีกำไร ล่าสุดคือการคืนช่องที่เปรียบเสมือนการ “โยนผ้า ยอมแพ้” ของ 7 ช่องทีวีดิจิทัล
การจะประสบความสำเร็จด้านรายได้ ก็ต้องมีที่มาจากความนิยมหรือเรตติ้งที่สูงเป็นพื้นฐาน คำถามคือ รายการประเภทไหนล่ะ ที่จะโดนใจประชาชนชาวไทย บางช่องใช้ละครเป็นอาวุธมาแต่เดิม บางช่องใช้ภาพยนตร์เป็นอาวุธหลัก บางช่องได้โอกาสจากวิกฤตข่าวสาร บางช่องก็ต่อยอดความถนัดของตนเอง จากที่เป็นผู้ผลิตรายการมานับสิบปี
แต่ในช่วงนี้จะเห็นข่าวสารว่า บรรดาช่องทีวีดิจิทัลหลายช่อง ประกาศทุ่มทุนทำละครกันมากขึ้น ไม่ต้องนับช่อง 7 ช่อง 3 และช่อง ONE ที่เป็น 3 ช่องใหญ่ที่มีละครเป็นเส้นเลือดใหญ่ของช่อง บางช่องก็ลองผิดลองถูกมาหลายครั้ง แม้เงินจะไหลออกหนัก ไหลออกเร็ว ด้วยละครคุณภาพดีจะมีต้นทุนที่สูงมาก
แต่ศึกครั้งนี้ มีหลายช่องเข้ามาท้าประลอง ทั้งช่องที่เคยทำ เคยเลิก ช่องที่เงินหนา และช่องที่มีเงินทุนหนามาก จัดหนัก จัดเต็ม กระโจนลงสู่สังเวียนละครกัน ทั้งๆที่รู้ว่า ต้นทุนสูงและไม่ง่ายที่จะแหวกกระแสความนิยมของ 3 ช่องที่เป็นผู้ผลิตแถวหน้า เบียดเพื่อจะก้าวไปสู่แถวหน้าบ้าง ต่างก็จัดชุดละครลงแข่งขันสู้กันทั้งช่วงเวลาเย็นและหลังข่าวภาคค่ำที่เป็นช่วงเวลาที่มีผู้ชมสูงสุด
จนหลายคนอาจจะเกิดคำถามว่า ทำไมบรรดาทีวีดิจิทัลต้องทุ่มทุนทำละครกันขนาดนี้ ทั้งๆที่ละครไทยแต่ละเรื่อง ต้องใช้เงินลงทุนเรื่องละหลายสิบล้านบาท บางเรื่องยังต้องใช้เงินลงทุนเกินกว่า 50 ล้านบาท
หากย้อนดูประวัติศาสตร์วงการทีวีของไทย ตั้งแต่ยุคแอนะล็อก สมัยที่ยังมีทีวีเพียง 6 ช่อง จะพบว่าคอนเทนต์ ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในก็คือ “ละครไทย” วัดได้จากความนิยมที่วัดจาก “เรตติ้ง” ของนีลเส็น ประชากรไทยทั่วประเทศต่างก็เทใจให้กับละคร โดยละครเรื่องที่มีเรตติ้งสูงสุดตลาดกาล คือ “คู่กรรม” จากช่อง 7 ในปี 2533 ที่ “พี่เบิร์ด ธงชัย แมคอินไตย” แสดงเป็น โกโบริ และ “กวาง- กมลชนก เขมะโยธิน” เป็น “อังสุมาริน” ที่กวาดเรตติ้งไปถึง 40 ในตอนจบ
รองลงมาคือ “ดาวพระศุกร์” จากช่อง 7 เช่นกัน ได้เรตติ้ง 38 และ “มนต์รักลูกทุ่ง” เรตติ้ง 36
มาถึงในยุคทีวีดิจิทัลตั้งแต่ปี 2557 รายการที่ทำเรตติ้งสูงสุด ก็ยังเป็นละครไทย “บุพเพสันนิวาส” จากช่อง 3 ที่ทำเรตติ้งตอนจบได้ 18.633 ตามมาด้วยละคร “นาคี “ จากช่อง 3 ที่ทำเรตติ้งตอนจบไว้ที่ 17.291
ส่วนรายการที่ไม่ใช่ละคร แล้วทำเรตติ้งได้สูงสุดในยุคทีวีดิจิทัล ได้แก่ The Mask Singer ซีซันแรก จากช่องเวิร์คพอยท์ ที่ทำเรตติ้งตอนที่สูงสุดไว้ที่ 13.371
จึงเห็นได้ว่า ละครไทย เป็นรายการที่ครองใจผู้ชมชาวไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้ว่าจะมีบางกลุ่มผู้ชม จะปันใจ ไปให้ความสนใจกับซีรีส์เกาหลี ญี่ปุ่น จีน ฝรั่งหรือแม้แต่ซีรีส์อินเดียไปบ้าง แต่ก็เป็นเพียงช่วงเวลาไม่ยาวนานนัก จะให้เปรียบก็เหมือนกับที่เราลองเปลี่ยนรสชาติอาหารไปรับประทานของแปลกใหม่เป็นการชั่วคราวเท่านั้น ไม่ว่ายังไงคนไทยก็ต้องกลับมารับชมละครไทยเหมือนเดิม กล่าวได้ว่าไม่ว่าจะหลงไปชิม กิมจิ ปลาดิบ สเต๊ก สลัด อาหารนานาชาติ ยังไงก็กลับมาตายรังกับน้ำพริก หรืออาหารไทยรสแซ่บ เมนูยอดฮิตประจำชาติของคนไทยเช่นเดิม
ละครไทย จึงเปรียบเสมือนอาหารไทยที่ถูกปากคนไทยมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย
แม้ต้นทุนจะสูง แต่ละครไทยก็ยังเป็นคอนเทนต์ที่น่าลงทุน เนื่องจากเมื่อผลิตไปแล้ว ลิขสิทธิ์ก็ยังคงเป็นของแต่ละช่อง สามารถนำไปขายในตลาดต่างประเทศ ลงช่องทางออนไลน์ หรือจัดเป็นละครรีรันในแต่ละช่วงเวลาของสถานี เป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตของแต่ละช่อง ดังจะเห็นได้ว่า ไม่ว่าช่องใหญ่ ช่องเล็ก ที่ผลิตละครออกอากาศ ล้วนจัดช่วงละครรีรันออกอากาศกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นละครฮิต ได้นักแสดงนำชื่อดัง เรื่องที่เป็นที่รู้จักของคนไทยด้วยแล้ว หากเลือกมารีรันให้ถูกที่ ถูกเวลา ก็ยังสร้างเรตติ้ง สร้างรายได้ให้กับช่องได้เช่นกัน
แม้ละครจะสามารถสร้างเรตติ้งสูงได้ แต่การที่จะสร้างให้ “โดน” สร้างให้ “ดัง” ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้แต่เวิร์คพอยท์เองที่โจนเข้ามาทำละครหลายรอบ ก็ไม่สามารถทำให้ปัง ทำให้เปรี้ยงได้ เช่นเดียวกันกับโมโน ก็เข้ามาทำละครหลายครั้ง หลายหน ก็ยังคงรอคอยว่าจะต้องเจอเรื่องที่ทำให้ “เกิด”ให้ได้สักที
ละครที่สร้างชื่อเสียงมากที่สุดของช่องเวิร์คพอยท์ คือ “เกมริษยา” ละครดราม่า ที่ออกอากาศในช่วงปลายปี 2557 ปีแรกที่ทีวีดิจิทัลออกอากาศ เจาะกลุ่มคนทำงาน ได้ “ป๊อก- ปิยธิดา” และ “แท่ง-ศักดิ์สิทธิ์” ทำเรตติ้งเฉลี่ยได้ถึง 0.751 แต่เมื่อมาสร้างภาคที่ 2 ในปีถัดมา ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ช่อง True4U ลงทุนละครไปมหาศาล ในหลายแบบหลายอารมณ์ แต่ก็ไม่เปรี้ยงสักที
มาในปีนี้ ผู้เล่นจากช่องทีวีดิจิทัล ก็โดดเข้าในตลาดละครแม้แต่ “ไทยรัฐทีวี” รวมถึง”พีพีทีวี” ได้กลับเข้ามาผลิตละครอีกครั้ง บวกกับช่องใหม่ “อมรินทร์ทีวี” ที่ประกาศลงคอนเทนต์ละครในช่องเป็นครั้งแรก โดยที่จะเปิดตัวด้วยเรื่อง “สามีสีทอง” ในวันเสาร์ที่ 13 ก.ค.นี้
สำนวนไทยที่ว่า “เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง” คงจะพอนำมาใช้ให้เห็นภาพกับกรณีนี้ได้ เห็นเค้ารวย เห็นเค้าแรง ก็กระโจนลงมาแข่ง แต่จะแซงโค้งเข้าป้ายคว้าชัย หรือจะแหกโค้งเจ็บสาหัสช้ำหนัก ก็ต้องจับตากันต่อไป
เวทีนี้ที่ทุกช่องต่างอยากมีคนดู และเอเจนซี่เป็นพี่เลี้ยง
อาจจะเป็นเวทีแห่งความอ้างว้างเดียวดาย และล่มจมหนักกว่าเก่า
กระเป๋าจะแบนกว่าเก่า เพราะถูกแฟนละครทอดทิ้งหรือไม่ หรืออาจจะแจ็คพอต เจอเรื่องที่ใช่ แจ้งเกิดสถานีขึ้นมาทันตา
คงต้องให้ประชาชนชาวไทยร่วมกันพิสูจน์และตัดสิน